ผมขอยืมประโยคเด็ดที่ว่า “ถ้าการตลาดเปรียบเสมือนสมอง การเงินก็เปรียบได้ดั่งหัวใจ” จากท่านอาจารย์ที่ผมเคารพรักยิ่งท่านหนึ่ง มาเป็นหัวของบทความนี้ อาจารย์ท่านนั้นคือ ดร. ธรรมนูญ อานันโทไทย ท่านได้กล่าว เน้นย้ำ ให้ลูกศิษย์ลูกหาของท่านตระหนักถึงเรื่องการเงินในการดำเนินธุรกิจ
การที่ธุรกิจจะไปรุ่งหรือไปร่วงนั้น ปัจจัยด้านการตลาดและปัจจัยด้านการเงิน ปัจจัย 2 ตัวนี้เข้ามามีบทบาทชี้นำธุรกิจได้มากทีเดียว ถ้าปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดอ่อนแอย่อมจะส่งผลต่อผลการดำเนินงานในที่สุด ปัจจัย 2 ตัวนี้เปรียบได้ดั่งสมองและหัวใจ ถ้าเมื่อใดที่การตลาดหรือสมองทำงานได้ไม่สมบูรณ์เมื่อนั้น การเคลื่อนไหวของร่างกายที่เปรียบเสมือนผลการดำเนินงานย่อมเคลื่อนไหวได้ไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น และถ้าเมื่อใดที่หัวใจบกพร่อง การเงินสะดุดผลการดำเนินงานย่อมแปรปรวนเป็นธรรมดา
จากที่ได้กล่าวไว้ในบทความก่อนๆว่า กิจการนี้มีการตัดสินใจที่รวดเร็วมาก ซึ่งทำให้หัวใจก็คือการเงินยังไม่แข็งแกร่งพอเนื่องจากไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า ใช้การลงทุนแรกเริ่มทั้งสิ้น 229,000 บาท (ค่าเซ้ง+ค่ามัดจำตึก+ค่าเช่า) เตรียมเงินไว้หมุนเวียนกิจการอีกประมาณ 10,000 บาท และคาดว่าจะมีการลงทุนปรับปรุงร้านในอนาคต
ผมจะค่อยๆทำค่อยๆขยายกิจการ จะไม่รีบเพราะถึงแม้ว่าเราจะทราบแน่ว่ากิจการจะอยู่ได้ แต่ถึงอยู่ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าเราลงทุนไปเพิ่มจะทำให้ยอดขายหรือกำไรของเราเพิ่ม เราควรจะทำอย่างใจเย็นและรอบครอบเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่เรายังมองข้ามไป
กลับมาเข้าเรื่องกันครับ ผมขออธิบายกระบวนการว่าแผนออกลำดับขั้นตอนที่ผมวางไว้ระหว่างการตลาดและการเงินดังนี้
1. หัวใจ-การเงิน
วิธีการที่ผมนำมาใช้ในช่วงแรก(0-3 เดือน) ดึง เงินสดออกมาจากสินค้าคงเหลือ ให้มากเท่าที่จะทำได้ ดึงออกมาพอที่จะสังเกตเห็นได้ว่าสินค้าโล่งไปพอสมควร เพื่อนำเงินตัวนี้มาเป็นทุนในการซื้อสินค้าเข้าร้านต่อไป ถ้าซื้อสินค้าเข้าร้านก็จะซื้อในปริมาณที่น้อย
2. สมอง-การตลาด
ผมจะใช้เวลาช่วงแรก(0-3 เดือน) เพื่อดูลาดเลาว่าลูกค้าสนใจสินค้าใดมากเป็นพิเศษ ลักษณะลูกค้าเก่าที่มีอยู่เป็นกลุ่มเป็นอย่างไร ความเป็นไปได้ในการขายสินค้าเพิ่มเติมจะเพิ่มสินค้าตัวใด คงไม่ต้องถึงขั้นต้องมานั่งแจกแบบสอบถามกันขนาดนั้น ผมใช้แค่การคาดการณ์เอาก็น่าจะเพียงพอในการลุยกิจการช่วงแรกนี้
3. หัวใจ-การเงิน
เมื่อดึงเงินออกมาได้พอสมควรและมีข้อมูลจากการเก็บข้อมูลทางการตลาดของลูกค้า จะทำให้เราสามารถเลือกซื้อสินค้าที่คิดว่าเหมาะสมเข้าร้าน
4. สมอง-การตลาด
ลองดูว่าผลตอบรับกับสินค้าที่ซื้อมาเป็นอย่างไร แล้วมาว่ากันต่อ
5. การทำข้อสามกับข้อสี่ ทำวนไปเรื่อยๆก่อน
ตอนนี้ผมยังประมาณการรายรับรายจ่ายไม่ได้ ข้อมูลยังไม่พอแต่ถ้ามีข้อมูลมากพอจะนำมาประมาณการมาให้ชมกัน ถ้าแนวโน้มเป็นไปในทางที่ดีผมคาดว่าจะลงทุนเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงร้านอีกสักหน่อย
บทความชิ้นต่อไปขอนำเสนอในเรื่องของแนวคิดกันสักนิดครับติดตามตอนต่อไปได้ใน
ทอรุ้ง ตอนที่ 5: มีคนถามว่าคิดยังไงถึงลาออกจากแบงค์มาเป็นแม่ค้า?
ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^,^]…
Mr.Kh
12/9/54
ปล. โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน